พลิกโฉมอุตสาหกรรมสิ่งทอ มุ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยจัดเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศไทยในอันดับต้นๆ สิ่งทอไทยถือเป็นผู้ผลิตต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงมีนโยบายผลักดันให้อุตสาหกรรมสิ่งทอไทยเป็นศูนย์กลางการค้าในอาเซียนทั้งด้านการค้าและการจัดหาสินค้าสิ่งทอแฟชั่นให้ก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการระดับภูมิภาคอาเซียน แต่ในความเป็นจริงแล้วการพัฒนาและขยายการลงทุนด้านอุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์ตกแต่งสำเร็จในประเทศไทย ยังดำเนินงานช้ามากซึ่งถือเป็นคอขวดในการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบ เนื่องจากติดข้อจำกัดด้านกฎหมายหลายฉบับ โดยเฉพาะประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการห้ามตั้ง ห้ามขยายโรงงานฟอกย้อมฯ ปี พ.ศ.2549 ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่า กระบวนการฟอกย้อมพิมพ์และตกแต่งสำเร็จ เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าสิ่งทอได้สูงมากด้วยตระหนักถึงความสำคัญของกระบวนการฟอกย้อมฯ ที่เป็นขั้นตอนสำคัญในห่วงโซ่การผลิตสิ่งทอ ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฟอกย้อมฯ จึงร่วมกันเสนอให้มีการยกระดับกระบวนการฟอกย้อมพิมพ์และตกแต่งสำเร็จทั้งระบบอย่างเร่งด่วน
ด้วยเหตุนี้สมาคมอุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์และตกแต่งสิ่งทอไทย จึงร่วมกับ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ จัดทำข้อเสนอและแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมฟอกย้อมฯ โดยมีวัตถุประสงค์ในการปรับโครงสร้างและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมฟอกย้อมฯ เป็นอุตสาหกรรมสะอาด ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและความคิดสร้างสรรค์เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสิ่งทอในภูมิภาคอาเซียน และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างมูลค่าเพิ่ม
อุตสาหกรรมฟอกย้อมฯ ไม่ใช่ผู้ร้าย

คุณสุปรีญา อุนนาทรวรางกูร นายกสมาคมอุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์และตกแต่งสิ่งทอไทย กล่าวถึงการผลักดันให้ยกเลิกประกาศกระทรวงห้ามตั้ง ห้ามขยายฯ ว่า ภาคเอกชนเห็นด้วยที่รัฐมีความพยายามจะแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมเพราะส่วนหนึ่งจะเป็นการควบคุมมลพิษ แต่กฎการห้ามตั้ง ห้ามขยายโรงงานฟอกย้อมฯ ไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุดเพราะปัญหามลพิษที่ปล่อยลงในทางน้ำสาธารณะเกิดจากหลายๆ ภาคส่วน ทั้งจากอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท จากชุมชนที่อยู่อาศัย รวมทั้งน้ำเสียจากอาคารพาณิชย์ต่างๆดังนั้นรัฐจึงต้องพิจารณาหาต้นเหตุของแหล่งน้ำเสียที่แท้จริงก่อน แล้วค่อยออกมาตรการควบคุมการปล่อยน้ำเสียจากแหล่งต่างๆ
“ดิฉันไม่เห็นด้วยกับกฎห้ามตั้งห้ามขยายโรงงานฟอกย้อมฯ ตั้งแต่เริ่มต้น เพราะกระบวนการฟอกย้อมเป็นหนึ่งในห่วงโซที่ผูกต่อกันของอุตสาหกรรมสิ่งทอ ซึ่งทุกคนรู้ดีว่าขั้นตอนการผลิตสินค้าที่เป็นวัตถุดิบให้ออกมาเป็นสินค้าที่มีมูลค่าและคุณภาพ จะมาอยู่ที่กระบวนการฟอกย้อม กฎกระทรวงฯ นี้ จึงเป็นการปิดกั้นการพัฒนาอุตสาหกรรมฟอกย้อมฯ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่ามีคนบางกลุ่ม บางโรงงานที่ไม่เคารพกฎหมาย ไม่เคารพกฎเกณฑ์การอยู่รวมกันในสังคม ประกอบกับภาครัฐก็ไม่มีความเข้มแข็งพอที่จะบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมมลพิษ น้ำเสียต่างๆ ที่โรงงานนั้นปล่อยออกมา ซึ่งถ้ามีการบังคับใช้อย่างเข้มงวดก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายควบคุมอีกฉบับมาคุมกำเนิดโรงงาน
ดังนั้นการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมต้องเกิดจากการร่วมมือกันทั้งรัฐและเอกชน ขณะนี้ดิฉันก็ดีใจที่ภาครัฐให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ยิ่งภาครัฐมีนโยบายจะผลักดันให้อุตสาหกรรมสิ่งทอเป็นศูนย์กลางแฟชั่น หรือเป็นเทรดดิ้งฮับของอุตสาหกรรมในอาเซียน ประกาศกระทรวงฉบับนี้สมควรจะต้องถูกยกเลิก เพราะไม่สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของภาครัฐ และก่อให้เกิดการผูกขาดทางการค้าจากผู้ประกอบการรายเดิม เนื่องจากไม่มีการแข่งขันจากผู้เล่นรายใหม่ เมื่อไม่มีคู่แข่งใหม่ๆ การแข่งขันเรื่องประสิทธิภาพก็ไม่ได้ถูกให้ความสำคัญ โรงงานต่างๆ ก็ไม่เกิดการพัฒนา” คุณสุปรีญา กล่าวถึงผลเสียที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายฉบับนี้
นอกจากนี้ คุณสุปรีญายังกล่าวถึงแนวคิดในการปลดล็อกเรื่องนี้ว่า วันนี้ภาคเอกชนพยายามแสดงให้รัฐมองเห็นความจริงใจในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วมกัน ด้วยการรวบรวมความคิดเห็นจากสมาคมต่างๆ ในการยืนยันให้รัฐเห็นว่ากฎหมายฉบับนี้เป็นการคุมกำเนิดอุตสาหกรรมฟอกย้อม ขณะเดียวกันเราก็เตรียมข้อเสนอในส่วนของเอกชนว่า จะมีมาตรการอะไรที่มาใช้ควบคุมปัญหาสิ่งแวดล้อม แทนการยกเลิกประกาศกระทรวงฉบับนี้ โดยแนวทางหลักๆ คือการให้อุตสาหกรรมฟอกย้อมเห็นความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีสะอาดในกระบวนการผลิต และส่งเสริมให้อุตสาหกรรมนำกระบวนการผลิตสะอาด (Clean Production Technology)มาใช้ เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมฟอกย้อมที่ถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายผู้ทำลายสิ่งแวดล้อมให้เป็นผู้มีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อมของชุมชน และของประเทศ
“ทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อลดการใช้ทรัพยากรและพลังงาน ซึ่งเป็นความพยายามในการจัดการสิ่งแวดล้อม มีการควบคุมโดยยกเลิกการใช้สี และเคมีต้องห้าม ลดการใช้น้ำในกระบวนการผลิต ซึ่งมีผลโดยตรงในการลดปริมาณการใช้สี เคมี มีระบบการจัดการน้ำทิ้ง สี เคมี เทคโนโลยีที่ช่วยประหยัดพลังงาน ทั้งหมดนี้มีใช้งานในหลายประเทศ เพียงแต่เราต้องนำมาศึกษาและปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศไทย ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีสะอาดทั้งระบบ (Cleaner Technology) ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จะเป็นแนวทางที่ถูกต้องมากกว่าการบำบัดที่ปลายทาง (end-of-pipe) และช่วยลดปริมาณของเสียทั้งระบบ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบำบัด
เมื่อกระบวนการผลิตทั้งหมดถูกควบคุม และกำกับอย่างมีประสิทธิภาพ ต่อไปนี้ไม่ว่าโรงงานจะไปตั้งที่ไหน ก็ไม่มีใครมาสร้างเงื่อนไขว่าส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ เพราะเรามีวิธีจัดการของเสียตั้งแต่ต้นทางที่มีการใช้ไปจนถึงปลายทางที่ทิ้งเพื่อไม่ให้ไปทำลายสิ่งแวดล้อมภายนอก ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้เป็นแนวทางที่สมาคมจะพยายามผลักดันและชักจูงให้โรงงานอุตสาหกรรมหันมาใช้เทคโนโลยีสะอาดอย่างเต็มที่ เพื่อใช้เป็นสิ่งทดแทนประกาศกระทรวงฯที่เสนอให้ยกเลิก แต่อย่างไรก็ตาม การจะเข้าสู่การเป็นอุตสาหกรรมสะอาดต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัว ซึ่งเป็นเรื่องที่ภาครัฐและเอกชนต้องหารือร่วมกันว่าต้องใช้ระยะเวลาเท่าไร จะเหมาะสม” คุณสุปรีญา กล่าว
“เอกชน” หวั่น สิ่งทอไม่โต ถ้าแก้ปัญหาไม่ตรงจุด

ด้านคุณประดิษฐ์ รัตนวิจิตราศิลป์ รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวถึงความสำคัญในการยกระดับอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบว่า การรวมตัวของภาคเอกชนในครั้งนี้ เพราะมีความเห็นตรงกันว่าตลาดการผลิตสิ่งทอโลกมีความเปลี่ยนแปลงเอเชียกำลังขยายตัวเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มโลก ผู้ประกอบการไทยจึงต้องกำหนดยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงอุตสาหกรรมสิ่งทอและธุรกิจแฟชั่นให้สอดคล้องกัน โดยเปลี่ยนจากผู้รับจ้างผลิตเดิมไปสู่การทำตลาดในเชิงรุกและการเป็นเจ้าของตราสินค้าของตัวเอง รวมทั้งต้องยกระดับสินค้าไปสู่ตลาดผู้ผลิตสินค้าคุณภาพระดับกลางและระดับสูง นี่คือภาพใหญ่ๆ ที่ต้องมีการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยทั้งระบบ
“ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีช่วยฯ ก็เห็นสัญญาณดี ท่านว่ายังมีสิ่งที่ต้องช่วยกันแก้ไขการปลดล็อกกฎหมายต่างๆ ที่มีหลายเรื่องยังล้าสมัย โดยเฉพาะเรื่องการห้ามตั้ง และขยายโรงงานอุตสาหกรรมฟอกย้อมฯ ว่าจะทำอย่างไรให้ฟอกย้อมฯ เปลี่ยนเป็นอุตสาหกรรมที่สามารถขยายตัวได้ จะทำอย่างไรให้ตอบสนองตลาดและ แข่งขันได้มากขึ้น ซึ่งถ้าไม่มีการแก้ไขกฎหมายและวางแนวทางส่งเสริมธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ปัญหาเหล่านี้จะกลายเป็นตัวสกัดกั้นความเจริญของอุตสาหกรรม การรวมตัวของเอกชนในครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องแก้กฎหมายอย่างเดียว แต่ยังมีประเด็นเรื่องการส่งเสริมของภาครัฐ ยกตัวอย่าง เช่น การเพิ่มสาธารณูปโภคพื้นฐาน การออกมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมการค้าและการลงทุน เป็นต้น” คุณประดิษฐ์กล่าว
และกล่าวทิ้งท้ายว่า วันนี้ภาคเอกชนจึงต้องร่วมมือกันช่วยกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งประเทศ ว่าจะเดินไปทิศทางใด ให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศที่ตั้งธงไว้ชัดเจน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาคอขวดในการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ตลอดจนปรับโครงสร้างและภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์ฯ ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ทำร้ายสิ่งแวดล้อม ให้กลายเป็นอุตสาหกรรมสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีคุณภาพสูง ให้สามารถขยายกำลังการผลิตด้วยด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง และตอบสนองตลาดได้รวดเร็ว
แนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมฟอกย้อมฯ
สำหรับร่างแนวทางที่จะนำไปเป็นข้อมูลประกอบการเสนอแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยเฉพาะเรื่องการห้ามตั้ง ห้ามขยายโรงงานอุตสาหกรรมฟอกย้อมฯ จะประกอบไปด้วย 3 มาตรการหลักๆ คือ มาตรการด้านการปรับปรุงกฎระเบียบ มาตรการด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และ มาตรการด้านการส่งเสริมผู้ประกอบการ
มาตรการด้านการปรับปรุงกฎระเบียบ
1.ยกเลิกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดจำนวน ขนาด และประเภทหรือชนิดของโรงงานที่ไม่ให้ตั้งหรือขยายในทุกท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ศ.2549แล้วออกประกาศใหม่ให้สามารถตั้ง ขยาย โรงงานฟอกย้อมพิมพ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด และควบคุมกำลังการผลิตแทนการคำนวณจากแรงม้า เพื่อแก้ปัญหาคอขวดของอุตสาหกรรมผ้าผืนให้เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มอย่างสมบูรณ์ รวมทั้งมีบทเฉพาะกาลสำหรับโรงงานเดิม ปรับปรุงให้เป็นไปตามเกณฑ์
2. เกณฑ์การขออนุญาตตั้งหรือขยายโรงงานฟอกย้อม พิมพ์ ตกแต่งสำเร็จสิ่งทอแบ่งออกเป็น 3 แนวทางดังนี้
2.1.ต้องมีแผนงานก่อนการตั้งหรือขยายโรงงานที่ชัดเจนใช้หลักการเทคโนโลยีสะอาด (Cleaner Technology: CT)ซึ่งแผนงานก่อนการตั้งหรือการขยายโรงงาน ประกอบไปด้วย 1 ผังกระบวนการผลิต(Plan Lay out) มีการแสดงเทคโนโลยีการผลิตและการจัดการเพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม (Best Available Techniques: BAT)(จะมีการจัดทำคู่มือ BAT สำหรับผู้ประกอบการไทยภายหลัง) 2.ระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของโรงงานมีการแสดงอัตราส่วนการใช้น้ำต่อปริมาณผลผลิตการจัดหาและแสดงปริมาณน้ำใช้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น การจัดการระบบการใช้น้ำ / การลำเลียงแยกประเภทของน้ำใช้และน้ำทิ้งในโรงงาน เป็นต้น และที่สำคัญต้องมีการบำบัดน้ำใช้ (Water Input)และน้ำเสียในกระบวนการผลิตตลอดจนแสดงสัดส่วนการนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ (Recycle) 3.การบริหารจัดการและพัฒนาบุคลากร ต้องมีการควบคุมการผลิตตามแนวทาง BAT และแผนการจัดการสิ่งแวดล้อมของโรงงาน 4. การกำกับควบคุม ติดตาม ตรวจสอบคุณภาพมาตรฐาน การจัดการสิ่งแวดล้อมของโรงงาน มีการจัดทำตัวชี้วัดประสิทธิภาพ เช่น การใช้ทรัพยากรน้ำ พลังงาน ของเสีย ฯลฯ
2.2 กำหนดเกณฑ์การควบคุมและค่ามาตรฐาน แบ่งออกเป็น 3 เรื่อง
1. ปฏิบัติตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2539)เรื่อง กำหนดคุณลักษณะของน้ำทิ้งที่ระบายออกจากโรงงานและมาตรฐานคุณภาพน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมและนิคมอุตสาหกรรมของกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
2 กำหนดรายการสารเคมีต้องห้าม ตามมาตรฐานสากล เพื่อป้องกันสารอันตรายที่อาจปนเปื้อนไปสู่สิ่งแวดล้อม ลดความเสี่ยงในการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายในการบำบัด
3. มีระบบการผลิตใช้หลักการเทคโนโลยีสะอาด (Cleaner Technology: CT) และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
2.3 มีแนวทางในการจัดการสิ่งแวดล้อมและการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมการพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะครอบคลุมไปถึงระบบนิเวศน์ สุขอนามัยของมนุษย์ และทรัพยากรธรรมชาติ มีการป้องกันมลภาวะ การใช้ทรัพยากรในการผลิตให้มีประสิทธิภาพ การลดภาวะโลกร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาเรือนกระจกและปรับตัวให้เข้ากับภาวะโลกร้อน มีการปกป้องสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม จัดทำ Water Footprint การบำบัดทางชีวภาพแหล่งน้ำ ดิน เป็นต้น โดยใช้หลักการประเมินวัฏจักรชีวิต (Life Cycle Assessment: LCA)-ISO 14040 และสุดท้ายจัดเก็บข้อมูลบัญชีรายการด้านสิ่งแวดล้อม (Life Cycle Inventory: LCI) และสื่อสารต่อสาธารณะ
3.การทบทวนค่ามาตรฐานบังคับที่เกี่ยวข้อง ทุก 5 ปี
4. กำหนดให้มีบทเฉพาะกาล ระยะเวลา 3 ปี เพื่อการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตก่อนการปรับปรุงกฎหมายฯ
มาตรการด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอทั้งระบบ การศึกษาโครงสร้างพื้นฐานจึงมีความสำคัญในการสร้างมาตรฐานในการอยู่ร่วมกันในสังคม ซึ่งมีแนวทางในการทำงาน ดังนี้
-
- การศึกษาและจัดทำแผนที่นำทางเทคโนโลยีการฟอกย้อมพิมพ์ ตกแต่งสำเร็จ ประกอบด้วย
– แผนที่นำทางเทคโนโลยี (Technology Road Map)
– พื้นที่เป้าหมายในการปฏิรูปเพื่อฟื้นฟูลุ่มน้ำ ที่มีความเหมาะสมด้านทรัพยากรน้ำ เพื่อลดมลพิษและต้นทุนการบำบัดน้ำก่อนเข้าสู่ระบบ
– การเชื่อมโยงกับการผลิตในภูมิภาคอาเชียน
– แผนการพัฒนาบุคลากรด้านเทคนิคและการออกแบบ - การพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมพิเศษเพื่อการฟอกย้อมพิมพ์ ตกแต่งสำเร็จ
– พื้นที่สีเขียวเพื่อการบำบัดแบบธรรมชาติ (Wetland for Bio Treatment)
– ระบบการจัดการพลังงานรวม (Co-Generator) สำหรับพลังงานไอน้ำ ความร้อน และไฟฟ้า
- การศึกษาและจัดทำแผนที่นำทางเทคโนโลยีการฟอกย้อมพิมพ์ ตกแต่งสำเร็จ ประกอบด้วย
มาตรการด้านการส่งเสริมผู้ประกอบการ
การปรับตัวสู่อุตสาหกรรมสิ่งทอและแฟชั่นในบริบทใหม่ การเตรียมความพร้อมให้ผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็น องค์ความรู้ ทักษะ และเทคโลโนยีที่ทันสมัย จึงมีความสำคัญมาก สำหรับรูปแบบในการส่งเสริมจะผ่านการทำโครงการและกิจกรรมที่หลากหลาย อาทิเช่น– การจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยี และการขยายการลงทุนใหม่
-การสนับสนุนการจัดหาดิจิตัลเทคโนโลยีเพื่อการบริหารจัดการ
-การจัดทำโครงการพัฒนาผู้ประกอบการสู่การใช้เทคโนโลยีสะอาด (Cleaner Technology) โดยผู้เชี่ยวชาญจากในประเทศและต่างประเทศ
-การจัดทำโครงการนำร่องเพื่อผลักดันผู้ประกอบการสู่อุตสาหกรรมที่ให้บริการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชื่อมโยงกับแบรนด์สินค้า
-การจัดทำโครงการพัฒนาทักษะแรงงานด้านเทคนิค และทุนการศึกษาสำหรับบุคลากรในระบบอุตสาหกรรมและระบบการศึกษาเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมฟอกย้อมพิมพ์ ตกแต่งสำเร็จ และการพัฒนาผู้ประกอบการฟอกย้อมพิมพ์ ตกแต่งสำเร็จให้เชื่อมโยงและเข้าถึงการใช้ NEW IDEAS INCUBATION NETWORK ซึ่งเป็นเครือข่าย Product Development Centre เชื่อมโยงบุคลากรและเครื่องจักรเครื่องมือ ที่ให้บริการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบ่มเพาะแนวคิดใหม่ เป็นต้น
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาสภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง จากวิกฤตทางเศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกาประกอบกับความไม่สงบทางการเมืองของประเทศไทยที่ทำให้ผู้บริโภคทั่วโลกชะลอและลดการบริโภคสินค้าแฟชั่น ในสภาวะการที่ตกต่ำเช่นนี้ สิ่งที่จะส่งเสริมอุตสาหกรรมนี้ให้มีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น คือการพัฒนามาตรฐานอุตสาหกรรม การนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งกระบวนการฟอกย้อมฯ ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญในห่วงโซ่การผลิตสิ่งทอ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก และคงความสามารถในการแข่งขันและรักษาลูกค้าไว้ได้อย่างยั่งยืน