การประยุกต์ใช้ไบโอเทคโนโลยีกำจัดสีในน้ำทิ้งจากโรงงานฟอกย้อม
เรื่องโดย ปิลันธน์ ธรรมมงคล
หสน.ธนไพศาล
ปัจจุบันค่ามาตรฐานน้ำทิ้งในอุตสาหกรรมฟอกย้อมยังไม่มีการกำหนดค่าปริมาณสีที่ปล่อยออกสู่แหล่งน้ำสาธารณะ ที่ผ่านมาได้กำหนดค่ามาตรฐานน้ำทิ้งอยู่ในรูปแบบของ Biochemical Oxyen Demand: BOD ไม่เกิน 60 มิลลิกรัมต่อลิตร Chemical Oxyen Demand : COD ไม่เกิน 400 มิลลิกรัมต่อลิตร และปริมาณสารอื่นๆ เช่น ค่าความเป็นกรดเป็นด่าง น้ำมันและไขมัน สังกะสี โครเมียม ปรอท ตะกั่ว เป็นต้น ส่วนค่ามาตรฐานสีของน้ำทิ้งกำหนดไว้ว่าสีและกลิ่นต้องไม่เป็นที่พึ่งรังเกียจ[vc_column_text]ด้วยเหตุนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้พยายามผลักดันร่าง ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ที่มีการกำหนดมาตรฐานควบคุมการระบายน้ำทิ้งจากโรงงานอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น โดยได้กำหนดหน่วยการวัดสีค่าน้ำทิ้งใหม่ให้ไม่เกิน 300 ADMI ซึ่งร่างดังกล่าวฯ ได้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งภาครัฐและเอกชน
ADMI ย่อมาจาก American Dye Manufacturers Institute เป็นหน่วยมาตรฐานในการวัดค่าสี เพื่อตรวจสอบการปนเปื้อนของสีย้อมและเม็ดสีในน้ำเสียซึ่งปัจจุบันมีการใช้ระบบนี้เพียงไม่กี่ประเทศในโลกเช่น ไต้หวัน หรือสหรัฐอเมริกา ที่กำหนดมาตรฐานสีของน้ำทิ้งนั้นแตกต่างไปตามมลรัฐ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในช่วง 200 – 600 ADMI ขึ้นอยู่ตามสภาพแวดล้อมของแต่ละพื้นที่
ขณะที่การสำรวจโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยที่ใช้สีย้อมสังเคราะห์ และพิกเมนท์เป็นจำนวนมากนั้น กลับพบว่า เทคโนโลยีบำบัดน้ำเสียที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมในปัจจุบันไม่สามารถกำจัดสีจากน้ำเสียได้ตามมาตรฐานใหม่โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 400 – 700 ADMI ส่งผลให้ทุกวันนี้ค่าสีในน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอยังเป็นประเด็นที่ภาครัฐและเอกชนถกเถียงถึงตัวเลขที่เหมาะสมว่าควรเป็นเท่าไรกันแน่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่ามาตรฐานการวัดสีน้ำทิ้งใหม่จะมีผลออกมาอย่างไร ผู้ประกอบการก็ต้องเตรียมความพร้อมและปรับปรุงค่ามาตรฐานน้ำทิ้งและระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรให้ดียิ่งขึ้น ในส่วนของโรงงาน “ธนไพศาล” สามารถวัดค่าสีในน้ำทิ้งของโรงงานได้ค่าเฉลี่ยที่ 400 – 500 ADMI ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณคำสั่งซื้อของลูกค้า ฤดูกาล และวัตถุดิบสิ่งทอ เป็นต้น ซึ่งเกินค่ามาตรฐานที่รัฐตั้งใจกำหนดในส่วนนี้ผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ
เบื้องต้นได้มีการนำเทคโนโลยีสะอาดมาเป็นเครื่องมือปรับปรุงระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในโรงงาน เช่น การเปลี่ยนกลุ่มสีที่ใช้ในการฟอกย้อมใหม่ให้สีติดที่เนื้อผ้าสูงเพื่อสีที่ทิ้งเหลืออยู่ในน้ำเสียน้อยที่สุด หรือการแยกน้ำเสียที่มีสีเข้มไปบำบัดก่อน แล้วจึงนำมารวมกับน้ำเสียที่มีสีอ่อน และเข้าสู่ระบบบำบัดปกติ เป็นต้น
บางโรงงานได้มีการใส่สารเคมีพวก Hypochlorite ในปริมาณเล็กน้อยลงในน้ำเสียที่บำบัดแล้ว เพื่อกัดสีให้มีสีอ่อนลง แต่อย่างไรก็ดี การใส่เคมีนี้จะส่งผลเสียให้ค่า COB ในน้ำเสียเพิ่มขึ้น และที่สำคัญคือมีเคมีนี้เมื่อไปทำปฏิกิริยากับสารออแกนนิคในน้ำ แล้วกลายเป็นสารก่อมะเร็ง
ดังนั้นการลดปริมาณสีในน้ำทิ้งจึงจะต้องใช้ระยะเวลา ทำการทดลองซ้ำๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าเราสามารถลดสีในน้ำเสียได้จริงและที่สำคัญคือต้องไม่ก่อให้เกิดมลพิษกับสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันเรื่องเหล่านี้ยังไม่มีกฎกติกาที่ชัดเจนมีแต่มาตรการทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากังวลและต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ ผมจึงทำการศึกษาวิธีการบำบัดน้ำเสียในรูปแบบต่างๆ อย่างจริงจังมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้มีโอกาสรู้จักนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง เขาแนะนำให้ผมรู้จักบริษัทที่ญี่ปุ่นชื่อ KATAOKA BIO เป็นผู้พัฒนาคิดค้นและประยุกต์ไบโอเทคโนโลยีมาใช้ประโยชน์ในการบำบัดน้ำเสียในอุตสาหกรรมและชุมชน โดยประยุกต์ใช้แบคทีเรียมาแก้ปัญหา
เราสามารถอธิบายการทำงานของแบคทีเรียง่ายๆ กล่าวคือเขาสามารถประยุกต์การใช้แบคทีเรียสายพันธุ์ต่างๆ ในการทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ช่วยเราจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ตรงประเด็น ยกตัวอย่างเช่น ในบ่อเติมอากาศ เราจะเลี้ยงแบคทีเรียไว้ย่อยสะลายและควบปริมาณของเสียให้มีค่า MLSS ประมาณ 5,000 มิลลิกรัมต่อลิตร ( Mixed Liquor Suspended Solids คือปริมาณหรือความเข้มข้นของจุลลินทรีย์ในถังอากาศ ) พอแบคทีเรียมีปริมาณสูงขึ้นเกินอัตราที่กำหนด ประสิทธิภาพในการบำบัดจะลดลงเราต้องถ่ายแบคทีเรียส่วนเกินออกเพื่อนำมาแล้วตาก หรือใส่เคมี แล้วบีบตะกอน ก่อนส่งไปบำบัดกับบริษัทรับบำบัดกากตะกอน ซึ่งแต่ละขั้นตอนนี้มีค่าใช้จ่ายในการบำบัด
แต่ในทางกลับกันถ้าเราสามารถควบคุมแบคทีเรียให้อยู่ในปริมาณ 5,000 MLSS โดยการคอยเติมแบคทีเรียตัวที่มีประโยชน์ลงไปให้มันควบคุมตัวเองทำให้เราไม่ต้องถ่ายตะกอนแบคทีเรียส่วนเกินมาตาก หรือมาบีบน้ำออก ไม่ต้องส่งบริษัทรับกำจัดกากตะกอน เราจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำบัด เป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตอีกทางหนึ่ง และที่สำคัญคือไม่ต้องเปลื้องพื้นที่ในการตากตะกอน วิธีนี้นอกจากจะนำไปใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมได้แล้ว ยังสามารถใช้กับระบบบำบัดน้ำเสียในอาคารสูง หรือห้างสรรพสินค้า ที่มีพื้นที่ใช้งานจำกัดได้อีกด้วย
สำหรับหลักการทำงานเขาจะพัฒนาแบคทีเรียแต่ละสายพันธุ์ให้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่เหมาะกับการใช้งานในด้านต่างๆ ซึ่งเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะที่ผ่านมาโลกของผมรู้จักแต่การใช้เคมีอย่างเดียวด้วยเหตุนี้ เราจึงส่งน้ำเสียในโรงงานไปให้เขาทำการทดลองเลี้ยงเชื้อแบคทีเรียแต่ละชนิดลงไปในน้ำเสีย เพื่อดูผลว่าค่าสีในน้ำเสียและค่า COD ลงลดหรือไม่อย่างไร ซึ่งผลปรากฏว่าเขาสามารถคิดค้นสูตร และขั้นตอนบางอย่างที่สามารถลบสีในน้ำทิ้งได้เป็นอย่างมาก
จากผลการทดลอง ทำให้ผมเห็นถึงความเป็นไปได้ในการประยุกต์ใช้ไบโอเทคโนโลยีมาจัดการระบบบำบัดน้ำเสียในโรงงานแทนการใช้สารเคมี ผมจึงเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นเพื่อคุยกับผู้บริหารและขออนุญาตไปดูการประยุกต์ใช้แบคทีเรียกับการบำบัดน้ำเสียในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น ร้านอาหาร โรงแรม และโรงเรียน เป็นต้น แต่ที่น่าเสียดายที่ญี่ปุ่นไม่มีโรงงานฟอกย้อมเหลืออยู่แล้ว ผมจึงไม่มีโอกาสได้ดูงานในโรงฟอกย้อม แต่อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทญี่ปุ่นเขาก็แนะนำให้เราไปขอดูโรงงานฟอกย้อมในประเทศจีนที่ซื้อแบคทีเรียของบริษัทไปใช้บำบัดน้ำเสียในโรงงาน เพื่อให้สามารถผ่านมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลจีน แต่เมื่อทางเราติดต่อไปก็ได้รับการปฏิเสธ เราก็เข้าใจว่าเป็นความลับของบริษัท
ตอนนี้สิ่งที่ผมทำได้คือการจัดตั้ง pilot plan เล็กๆ ขึ้นที่บริษัทเพื่อศึกษาการทำงานของแบคทีเรียนี้ว่าต้องใช้ปริมาณ ขั้นตอนอย่างไรถึงจะเหมาะสมที่สามารถทำลายสีในน้ำทิ้งให้ต่ำกว่า 300 ADMI ตามค่ามาตรฐานใหม่ที่รัฐต้องการ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการ แต่ถ้ามีความคืบหน้าหรือผลการทดลองเป็นอย่างไร ผมจะนำมาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ให้ผู้ประกอบการในวงการสิ่งทอ ได้ใช้แก้ปัญหาน้ำเสียในโรงงาน เพื่อก้าวเข้าสู่มาตรฐานใหม่ร่วมกัน