ปี 2020 จะเป็นอย่างไร
หัวใจสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืนคือ การที่เราไม่หยุดยั้งในการพัฒนาให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในยุคจากนี้ไป จะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายและไม่เหมือนในทศวรรษที่ผ่านมาอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นจากเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จากวิวัฒนาการทางสังคมที่เปิดกว้าง ในขณะที่โลกก็แคบลงด้วนอินเตอร์เน็ต จากโลก Social Media ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีความจำเป็นที่เราทุกคนต้องเรียนรู้เพื่อตามให้ทันกระแสโลก เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต เราก็จะไม่สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ให้ตรงกับความต้องการของคนรุ่นต่อไปได้ และนั่นก็หมายความว่าเราจะหลุดไปจากวงจรของกระแสสังคมโลก กระแสการค้าโลก และต้องปิดกิจการลงในที่สุด
การสร้างนวัตกรรม การพัฒนาสินค้า การพัฒนาทีมงานและองค์กร หรือการปรับแผนกลยุทธ์ในการประกอบธุรกิจให้สอดคล้องกับกระแสความนิยมหลักที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงเป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากสำหรับผู้ประกอบการที่จะต้องคำนึงถึง ควบคู่ไปพร้อมกับการแก้ไขปัญหาธุรกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อให้การพัฒนาในวันนี้เป็นไปอย่างยั่งยืนในอนาคต
ที่นี้ลองมาดูกันสิว่าโลกในยุคข้างหน้าสัก 5 ปีจากนี้ไป (ปี 2020) จะเป็นอย่างไร และอะไรคือกระแสความนิยมหลักที่จะเกิดขึ้น
Green Concept: กระแสของการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมจะมีมากขึ้นและเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการทำธุรกิจในโลกยุคหน้า และข้อสำคัญคือ การเดิมที่เป็น “การสมัครใจ” จะกลายเป็น “การที่ต้องมี” สำหรับผู้ประกอบการในยุคปี 2020 เนื่องจากกระแสความใส่ใจกับแนวคิดสีเขียวจะมีมากยิ่งขึ้น
Innovative technology: เป็นยุคที่เทคโนโลยีจะข้ามามีบทบาทอย่างเต็มตัวในการดำรงชีวิตของคนเรา ทำให้เกิดนวัตกรรมอย่างมากมายในโลกยุคปี 2020 เราจะได้เห็นความอัจฉริยะของสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ชีวิตจะถูกยกระดับคุณภาพและเพิ่มความสะดวกสบาย ภายใต้ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของผู้คนในสังคม
Healthy Society / Aging Society: จากนี้ถึงปี 2020 จะเห็นว่า คนเราได้เริ่มเอาใจใส่ต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพมากขึ้น เป็นยุคของสังคมคนรักสุขภาพอย่างแท้จริง มนุษย์จะหันมาดูแลชีวิต เลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงและมีอายุยืนยาวขึ้น รวมถึงความเจริญก้าวหน้าทางการแพทย์ส่งผลให้อัตราการตายของประชากรโลกลดลง โลกจะเข้าสู่สังคมของผู้สูงอายุอย่างแท้จริง โดยคาดว่าผู้สูงอายุจะมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั่วโลก
จะเห็นว่า ในอนาคตคนเราจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิตประจำวันการดูแลรักษาสุขภาพ หรือทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีมาช่วยในการรักษามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อป้องกันอันตรายจากภัยภิบัติที่เกิดจากผลกระทบของการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างหนักหน่วงในอดีต เทรด์เหล่านี้จะส่งผลกระทบไปยังการดำเนินธุรกิจในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นภาคการผลิต หรือภาคการบริการ
วิธีที่จะคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำคือ การพยายามเข้าใจปัจจุบันให้ได้ในทุกมิติทุกมุมมอง….
วิสัยทัศน์และมุมมองของ Mega Trends ที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษหน้าที่แม้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว แต่ก็มีหลายๆ ประเด็นได้เริ่มเปลี่ยนแปลงและเห็นผลกระทบแล้วในปัจจุบัน ที่นี้เรามาดูกันสิว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่
เทรนด์ที่ 1: การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร (Demographic Shifts)
หลังสิ้นสุดยุค Baby Boom ในช่วงปี 1965-1970 วิทยาการทางการแพทย์สมัยใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาก ส่งผลให้ประชากรมีอายุยืนยาวขึ้นกว่าเดิม ประกอบกับโครงสร้างสังคมที่เปลี่ยนแปลง จากการเปลี่ยนขนาดของครอบครัวที่มีขนาดใหญ่ไปสู่ครอบครัวเดี่ยว รวมถึงการแต่งงานมีครอบครัวและมีบุตร มีแนวโน้มลดลง จึงทำให้สัดส่วนประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันสัดส่วนประชากรวัยแรงงานก็ลดลง ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจ ทั้งการผลิตและการบริโภค
เทรนด์ที่ 2: การเปลี่ยนขั้วอำนาจเศรษฐกิจโลก (Shift in Global Economic Power)
ขั้วอำนาจของเศรษฐกิจโลกกำลังจะเปลี่ยนผ่านจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วกลุ่ม G7 (สหรัฐฯ ญี่ปุ่น เยอรมนี สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส อิตาลี และแคนาดา) ไปสู่ประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างกลุ่มประเทศ E7 (จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก และตุรกี) ซึ่งเศรษฐกิจกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกลุ่มประเทศดังกล่าวยังมีทรัพยากรสมบูรณ์และมีโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจได้อีกมาก ทั้งการค้า การลงทุน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ประกอบกับจำนวนประชากรมหาศาลและมีระดับรายได้ที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดความต้องการสินค้าและบริการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย
เทรนด์ที่ 3: การเติบโตของสังคมเมือง (Accelerating Urbanisation)
จากที่นโยบายของหลายประเทศที่มุ่งกระจายรายได้และการพัฒนาไปสู่ชนบทมากขึ้น ช่วยยกระดับและพัฒนาสังคมชนบทไปสู่การเป็นสังคมเมือง ทำให้คาดว่าในปี 2020 สัดส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจะสูงถึงร้อยละกว่า 70 โดยเฉพาะในภูมิภาคแอฟริกาตอนเหนือ (Sub-Saharan Africa) และเอเชียที่สังคมเมืองมีแนวโน้มพัฒนาและเติบโตอย่างรวดเร็วข้อสังเกต : ในภาพรวม “สังคมเมือง” จะพิจารณาจากจำนวนประชากร ความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสิ่งอำนวยความสะดวกตัวอย่างธุรกิจที่คาดว่าจะได้ประโยชน์: ก่อสร้าง/วัสดุก่อสร้าง พลังงาน โทรคมนาคม/อินเทอร์เน็ต / อาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้า / เครื่องประดับ / รถยนต์
เทรนด์ที่ 4: การลดลงของทรัพยากรและการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ (Resource Scarcity and Climate Change)
การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลก ได้ส่งผลให้เกิดการบริโภคทรัพยากรต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะการใช้พลังงาน การบริโภคน้ำและอาหาร และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ มลภาวะที่เกิดจากการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม ขยะของเหลือใช้ที่ไม่ได้ถูกนำไปรีไซเคิล การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ฯลฯ ตลอดจนยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศ อาทิ ฝนแล้ง น้ำท่วมและการเปลี่ยนแปลงของระดับความเข้มข้นในน้ำทะเล ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการเกษตรและการผลิตอาหารของโลก ดังนั้นทั่วโลกจึงหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลและรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รวมถึงในภาคธุรกิจที่มีการปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพื่อลดหรือชะลอผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
เทรนด์ที่ 5: ความก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยี (Technological Breakthroughs)
การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมหน้าของโลกไปอย่างมาก ทั้งรูปแบบวิถีชีวิต การพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงในภาคธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต การตลาด และการบริหารจัดการภายในกิจการ เทคโนโลยียังช่วยให้เกิดธุรกิจใหม่ได้ง่ายในเพียงชั่วข้ามคืนอย่าง “ธุรกิจออนไลน์”
ด้วยอาศัยประโยชน์จากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก่อให้เกิดสังคมเครือข่ายออนไลน์ (Social Network) แพร่หลายดังเช่นในปัจจุบันที่ช่วยลดข้อจำกัดของระยะทาง ทำให้สามารถเกิดการค้าอย่างไร้ขอบเขต
ปัจจุบันประชากรโลกมีอุปกรณ์สื่อสารมากกว่า 1.84 เครื่องต่อคน เพิ่มขึ้นจาก 0.08 เครื่องต่อคนในปี 2003 และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.47 และ 6.58 เครื่องต่อคนในปี 2015 และปี 2020 ตามลำดับ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการที่เทคโนโลยีจะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของมนุษย์มากขึ้น ธุรกิจในอนาคตจึงควรให้ความสำคัญกับการไขว่คว้าโอกาสจากความสำคัญของเทคโนโลยีดังกล่าว รวมถึงไม่พลาดที่จะติดตามทิศทางของเทคโนโลยีใหม่ๆ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการบริโภคผ่านเทคโนโลยีสื่อสารต่างๆ ที่นับวันจะเกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
New Normal
ในธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ “New Normal” หมายถึง เงื่อนไขทางการเงินหลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี ค.ศ.2007-2008 และผลพวงของภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปี ค.ศ.2008-2012 เป็นคำที่ถูกนำมาใช้ในความหลากหลายของบริบทอื่นๆ ที่จะบ่งบอกถึงบางสิ่งบางอย่างซึ่งก่อนหน้านี้เป็นสิ่งผิดปกติที่ปัจจุบันและอนาคตได้กลายเป็นเรื่องปกติ
โลกจากนี้ไปจะเป็นดินแดนที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยข้อขัดแย้ง ภาครัฐและภาคธุรกิจในหลายๆ ประเทศเริ่มหันหน้าเข้าหากันมากขึ้นเพื่อการปรับแต่งลำดับความสำคัญของความต้องการ ให้เกิดความสมดุลของการใช้อำนาจ การใช้ทรัพยากรที่เริ่มมีจำกัด และการอยู่รอดของสังคม
หลังจากการเติบโตทางตัวเลขเศรษฐกิจแบบสองหลักมาเป็นระยะเวลานาน จากนี้ไปเราจะได้เห็นเพียงการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและรายประเทศที่มีระดับของตัวเลขเพียงหนึ่งหลักหรืออาจจะเพียง 0.xx กว่าๆ เท่านั้น
ยุคของการเปลี่ยนแปลง
อายุของประชากรโดยเฉลี่ยที่เท่ากับ 55+ จะเป็นสิ่งไม่ปรกติที่ปรกติที่จะเกิดขึ้นใหม่ นี่คืออายุเมื่อคนทั่วไปเริ่มต้นที่จะใช้จ่ายน้อยลงและประหยัดมากขึ้น และในโลกใหม่ที่เป็น Aging Society มนุษย์เราก็จะต้องทำเช่นนี้ ในขณะที่จะมีช่วงของประชากรวัยทำงานในอนาคตที่มีขนาดที่แคบลง จำนวนน้อยลงในการเข้ามาสร้างและขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจมีช่วงที่แคบและหดตัว และในภาพรวมของเศรษฐกิจโลกก็เช่นเดียวกันในเศรษฐกิจโลกที่แม้ว่ากลุ่มประเทศ Emerging Countries คือความหวังของการค้าโลกในอนาคต แต่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้นก็จะไม่สามารถมาทดแทนส่วนที่ขาดหายไปจากการหดตัวทางเศรษฐกิจโลกจากผลกระทบเศรษฐกิจจากประเทศอย่างจีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป หรือญี่ปุ่นได้เลย ด้วยสัดส่วนการค้าและเศรษฐกิจที่มีขนาดแตกต่างกันมาก เราไม่สามารถคาดหวังว่าประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่จะมาทดแทนสัดส่วนที่หายไปนี้ได้
• ผู้บริโภคจะมองหาความคุ้มค่าเงินและการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
• เด็กและผู้ใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ ‘ความต้องการ (Needs)’ มากกว่า ‘แค่ต้องการ(Want)’
• นักลงทุนจะมุ่งเน้นไปที่ ‘การกลับมาของเงินทุน’ มากกว่า ‘ผลตอบแทนจากทุน’
• คำว่า “ชนชั้นกลาง” เมื่อนำมาใช้ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่จะได้รับการยอมรับว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับระดับรายได้
• รูปแบบการค้าและการตลาดที่จะได้กลายเป็นระดับภูมิภาคมากขึ้น
• ประเทศตะวันตกจะมีการเพิ่มอายุเกษียณเกิน 65 เพื่อลดหนี้สิน เงินบำนาญที่ไม่ยั่งยืน
• การจัดเก็บภาษีจะได้รับเพิ่มขึ้นเพื่อรับมือกับปัญหาหนี้สาธารณะ
• เหตุการณ์ความไม่สงบทางสังคมจะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไปโดยปริยาย
การเปลี่ยนไปไปสู่ยุค New Normal จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก ความสะดวกสบายและความมั่นคงจะน้อยลง ประชากรส่วนใหญ่จะพบกับตัวเองในรูปแบบของ Aging Boomers ที่บริโภคน้อยลงและประหยัดมากขึ้น แทนที่จะคาดหวังว่ามูลค่าสินทรัพย์ของพวกเขาจะเติบโตอย่างเหลือเชื่อในทุกปี
เหล่านี้จะทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพุ่งความสนใจของความคิดสร้างสรรค์และทรัพยากรของตนเองไปที่ความต้องการที่แท้จริง (Needs) ของตลาดและลูกค้าเป้าหมาย
โลกในปี 2020 และอนาคตโลก
ธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และจะเปลี่ยนวิธีเสาะหา จัดการ และบริหารแรงงานทั่วโลก ความรู้ การค้า เทคโนโลยีทุนและสินค้าจะมีการเชื่อมต่อทั่วโลกมากขึ้นกว่าที่เคย การเจริญเติบโตในตลาดเกิดใหม่จะสร้างการย้ายฐานการทำงาน จำนวนมหาศาลของแรงงานจะเริ่มก้าวเข้าสู่ยุคของการทำงานข้ามชาติ และการขาดแคลนที่สำคัญในความสามารถในตลาดที่เฉพาะเจาะจงและสาขาวิชาพิเศษจะเกิดขึ้นทั่วโลก นี่คือการเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้นในยุค “New Normal” ซึ่งจะนำมาซึ่งเอกลักษณ์ความท้าทายแบบเฉพาะตัว
• รูปแบบใหม่ของการเคลื่อนไหวแรงงานทั่วโลกได้มีการพัฒนาเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางธุรกิจ
• ความสามารถใหม่ สถานที่ใหม่ ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของตลาดเกิดใหม่ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในรูปแบบการเคลื่อนไหว
• พนักงานที่มีทักษะเป็นที่ต้องการมากขึ้นในตลาดเกิดใหม่และบริษัทข้ามชาติ
• ความสามารถในท้องถิ่น การส่งมอบประสบการณ์ การเคลื่อนไหวและหนุนอาชีวะอาชีพ (หรือ ‘จัดการ’) จะกลายเป็นสิ่งสำคัญมากขึ้นในอนาคต เสมือนการเกิดขึ้นมาใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
ค้นคว้าและเรียบเรียงโดย ว.ณ.ส.